06 มีนาคม 2553

เรื่องเล่าของเอ็ม : เรื่องเล่าของเพื่อนผู้ติดเชื้อจากบ้านฟ้า


ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า กำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หลังจากทราบว่าตัวเองติดเชื้อของผู้ติดเชื้อเอชไอวีมาจากคนในครอบครัว บางคนโชคดีได้รับการยอมรับ บางคนโชคร้ายได้รับการปฏิบัติและการปฏิเสธจากคนในครอบครัว แต่ในโลกความเป็นจริงการปฏิเสธของครอบครัว ไม่ใช่จุดจบของชีวิต ถ้าหากเราได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจเกียวกับโรคเอดส์และการติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น

เป็นเอดส์.. ไม่ได้เป็นแล้วจะต้องตายในเวลาอันสั้น ติดเชื้อเอชไอวี..ไม่ใช่จุดจบของชีวิต ความหวัง ความฝัน ไม่ได้จบไปพร้อมกับคำว่า "ติดเชื้อเอชไอวี"

หลายคนคิดว่า การติดเชื้อเอชไอวีเ็ป็น "โชคร้าย" อย่างหนึ่งของชีวิตเขา แต่สำหรับคนที่มีหัวใจนักสู้ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต เขาอาจแปรเรื่อง "โชคร้าย" ให้กลายเป็น "โชคดี" การที่ใครสักคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ไปวัน ๆ ไม่สนใจครอบครัว ติดเชื้อเอชไอวีแล้วกลายเป็นคนรักครอบครัว พยายามสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิตของตัวเอง

คุณคิดว่า เป็นโชคร้ายหรือโชคดีล่ะ สำหรับผม ถือว่าเป็นโชคดีของเขา เพราะเขายังสามารถทำสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิตของตนเอง ครอบครัว และสังคมได้มากขึ้น เพราะเขาไม่ประมาทไปกับชีวิตที่่เหลืออยู่ เขารู้ว่า ใครรักเขาจริง แล้วเขาควรปฏิบัติอย่างไรกับคนที่เขารัก

อยากให้ลองอ่านเรื่องเล่าของเอ็มดูครับ
ดีใจครับที่พ่อแม่เข้าใจ
ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ วันที่บอกพ่อกับแม่ไปแล้วว่าเราได้ติดเชื้อนี้

ช่วงแรก-พ่อดูเศร้าและดูและเราเป็นพิเศษยังกะว่าเราจะตายในวันพรุ่งนี้-แม่ เหมือนกัน ถึงขนาด ต้มจานชามที่ใช้แล้ว แล้วก้อเสื้อผ้าของผม จนกางเกงในCKผมกลายเป็นขากระดิ่งเลย

ช่วงสอง-พ่อ ยังทำตัวเหมือนเดิมแต่เตรียมอาหารไว้ให้เรากินต่างหากทุกมื้อ เขาบอกไม่ได้รังเกียจ แต่ว่ากลัวผมจะติดเชื้อโรคฉวยโอกาสจากพ่อกับแม่-แม่เริ่มกังวลกับสิวที่หลัง และบอกผมว่าสงสัยแม่จะติดเชื้อเอดส์จากลูก(แอบไปร้องไห้เลยครับ)วันหลังพ่อ ก้ออธิบายจนแม่เข้าใจ และสิวที่หลังมันก็ยังคงเป็นสิวที่หลังที่เกิดจากฮอร์โมนแม่เอง มิได้เกิดจากเชื้อเอดส์แต่อย่างใด เฮ้อ!!

ช่วงที่สาม- แบรนด์รังนกและวิต้าเบอร์รี่ ถาถมเข้ามาใส่ตัวผมอย่างไม่หยุดยั้ง จนถึงปัจจุบันนี่

ช่วงที่สี่- พ่อเริ่มให้ผมกินข้าวด้วยใช้ช้อนกลาง-แม่ กอดหอมเราเหมือนเคย และผมก็รำคาญเหมือนเคย แต่ไม่โหวกเหวกโวยวายเหมือนแต่ก่อนละ

ช่วงที่ห้า-พ่อแม่ เริ่มขึ้นไปหาหมอกับผม และระหว่างรอตรวจ พ่อกับแม่กล้าที่จะพูดคุยกับคนติดเชื้อที่รอตรวจอยู่เหมือนกัน(เห็นแล้วแทบ ร้อง)

ช่วงที่ห้า-พ่อแม่ทำตัวเหมือนเดิมเหมือนแต่ก่อนที่เขายังไม่รู้ว่าเราเป็น อ่ะไร แต่เอาใจใส่ในเรื่องกินยากับเรื่องหมอนัดมากขึ้น เหมือนมีผู้จัดการส่วนตัว

ช่วงที่หกถึงปัจจุบัน มีความสุขจัง ที่เห็นเขาเข้าใจและพยายามหาความรู้เรื่องเอชเพื่อที่จะมาบอกผม

ที่เล่ามาทั้งหมด คือ
คนที่กลัวโรคนี้คือคนที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้
คนที่กลัวโรคนี้ต้องหาความรู้เกี่ยวกับมันให้มาก
จากคนที่ไม่เห็นคุณค่าในชีวิตอย่างผม เที่ยวเตร่วันๆ ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่แย่ๆตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าผมติดเชื้อ ดีขึ้น เพราะคนสองคนนี้ คือพ่อ และแม่ และครอบครัวของผม ถึงบางคนจะไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรแต่ผมก็มองดูพวกเขาและคิดถึงพวกเขาทุกครั้ง ที่ผมจิตตก และ ผมรู้แค่ว่า ผมจะมีชีวิตที่ดีเพื่อครอบครัวที่ผมรัก ครับ
อ่านเรื่องของเอ็ม แล้วผมรู้สึกได้ถึงความรัก ความห่วงใย ที่พ่อแม่มีต่อลูก บอกตรง ๆ ครับ มีความสุขและยินดีกับเอ็มด้วย.. เรื่องของเอ็ม เป็นเรื่องดี ๆ ที่ผมอยากนำมาแบ่งปัน ผมนำมาจากกระทู้นี้ครับ ดีใจครับที่พ่อแม่เข้าใจ

ช่วงนี้ผมติดธุระยุ่ง ๆ หลายอย่าง ไม่ค่อยได้เข้าไปตั้งกระทู้ ตอบกระทู้เพื่อน ๆ ในบ้านฟ้า พออ่านเรื่องนี้ แล้วอดที่จะเอามาโพสต์ไว้ใน blog ของผมไม่ได้ เรื่องเล่าดี ๆ ของเพื่อน ๆ ในบ้านฟ้ามีอยู่เยอะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บล็อกของผู้ติดเชื้อเอชไอวี

  • การแพ้ยามีอาการอย่างไร - เรื่อง “การแพ้ยา” เป็นอีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะการแพ้ยาเป็นอันตราย อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้ยา จึงได้รับความสนใจและเป็นคำถามประจำ ที่ผู้สั่งจ่ายยา...
    11 ปีที่ผ่านมา