การตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี
การตัดสินว่าบุคคลใดติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่สามารถทำได้โดยการตรวจเลือด ซึ่งจะสามารถยืนยันการติดเชื้อได้ก็ต่อเมื่อ ตรวจพบแอนติบอดี้ของเชื้อเอชไอวี (โปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อมีสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย) ในเลือด
ตรงคำว่า "ตรวจเลือด" นี่เอง ที่บางครั้งทำให้เพื่อนผู้ติดเชื้อเอชไอวีสับสน เป็นความจริงที่ว่าการตรวจหาค่าซีดี 4 ค่าไวรัสโหลด ก็คือ การตรวจเลือด การตรวจหาค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า CBC ก็คือ การตรวจเลือด แต่ทั้งการตรวจค่าซีดี 4 การตรวจไวรัสโหลด และ การตรวจ CBC การตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี มีจุดมุ่งหมายในการตรวจต่างกัน น้ำยาที่ใช้ในการตรวจ ตลอดจนเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้จากการตรวจอย่างหนึ่ง จะเอาไปแปลผลในการตรวจอีกอย่างหนึ่งไม่ได้
เช่น การตรวจหาค่า ซีดี 4 หากมีค่าซีดี 4 > 1,000 ไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้นไม่ติดเชื้อเอชไอวี (ค่าเฉลี่ยของซีดี 4 ในคนปกติ คือ 500 - 1200 โดยประมาณ) หรือหากตรวจแล้วมีค่าซีดี 4 < 500 ก็ไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้นจะต้องติดเชื้อเอชไอวี เขาอาจจะป่วย รักษาหรือกินยาบางอย่างที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกกด
หรืออย่างกรณีที่ตรวจค่าไวรัสโหลดซึ่งได้ผลเป็น undetectable หรือตรวจไม่พบ ก็ไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้นหายจากการติดเชื้อเอชไอวี เพราะผลที่บอกว่า ตรวจไม่พบ คือ การตรวจหาเชื้อไวรัสในกระแสเลือดเพียงอย่างเดียว ไม่ได้รวมเชื้อไวรัสที่อาจหลบซ่อนอยู่ในต่อมน้ำเหลืองในร่างกาย ในน้ำนม หรือน้ำกาม และการตรวจไม่พบก็ขึ้นอยู่กับน้ำยาที่ใช้ว่ามีความไวมากน้อยเพียงใด อาจมีน้ำยาที่มีความไวต่อเชื้อไวรัสที่มีมากกว่าหรือเท่ากับ 40 ตัวต่อเลือด 1 ซี.ซี. หรือน้ำยาที่มีความไวต่อเชื้อไวรัสที่มีมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ตัวต่อเลือด 1 ซี.ซี. นอกจากใช้คำว่า ตรวจไม่พบอาจสรุปว่า VL (Viral Load) < 40 หรือ VL < 20 ขึ้นอยู่กับน้ำยาที่ใช้ตรวจ
ชุดตรวจที่ใช้โดยทั่วไปเรียกว่า อีไลซา (ELISA) และยังมีชุดตรวจแบบด่วนรู้ผลทันทีที่ใช้ในคลินิก (Rapid Test) ถ้าผลการตรวจโดยอีไลซ่าหรือชุดตรวจแบบด่วนเป็นบวก จะต้องมีการตรวจครั้งที่สองเพื่อยืนยันผล
ปกติทุกคนจะได้รับการตรวจซ้ำเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการผิดพลาด (ดังนั้นจึงตรวจครั้งที่สองเพื่อยืนยันผล) ผลตรวจที่ผิดพลาดสามารถเป็นได้ทั้งผลบวกปลอม (นั่นคือผลการตรวจระบุว่าผู้นั้นมีแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้ติดเชื้อ) หรือผลลบปลอม (นั่นคือการตรวจระบุว่าผู้นั้นไม่มีแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี แต่ในความเป็นจริงเขาติดเชื้อ) ซึ่งผลลบปลอม ยังสามารถเกิดได้ในช่วง "วินโดว์พีเรียด"
วินโดว์พีเรียดคืออะไร?
ในการหาเชื้อเอชไอวีจะทำการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดี แทนที่จะหาตัวเชื้อเอชไอวี เมื่อติดเชื้อเอชไอวีร่างกายจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี หมายความว่าในช่วงระยะเวลาตั้งแต่เริ่มติดเชื้อจนถึงเวลาที่ระดับแอนติบอดีสูงพอที่จะตรวจพบได้อาจตรวจไม่พบการติดเชื้อหรือผลตรวจเป็นลบนั่นเอง ถึงแม้ว่าบุคคลนี้จะติดเชื้อเอชไอวีอยู่ก็ตาม "ช่วงระยะเวลา" ดังกล่าวนี้เรียกว่า วินโดว์พีเรียด
วินโดว์พีเรียดมีระยะเวลาเท่าไร?
ระยะเวลาของวินโดว์พีเรียดนั้นแตกต่างไปตามแต่ละบุคคล แต่ปกติจะเป็น 6 สัปดาห์ถึง 3 เดือน
วินโดว์พีเรียดสำคัญอย่างไร?
วินโดว์พีเรียดมีความสำคัญเพราะเป็๋นช่วงเวลาที่ผู้ได้รับการตรวจมีผลตรวจเป็นลบ ในขณะที่ความจริงเขาติดเชื้อแล้วและสามารถแพร่เชื้อได้ วินโดว์พีเรียกทำให้เราไม่สามารถแน่ใจได้ว่า เราไม่ติดเชื้อแม้ว่าผลตรวจจะเป็นลบก็ตาม เราจะแน่ใจได้ก็ต่อเมื่อเราไม่มีความเสี่ยงเลยในช่วง 6 สัปดาห์ ถึง 3 เดือนก่อนการตรวจเป็นลบ
วิธีการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี
เราสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ ได้คือ
- การตรวจหาแอนติบอดีของเอชไอวี ซึ่งทั้ง ELISA และ Rapid Test คือ การตรวจแบบนี้
- การตรวจแอนติเจน การตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีโดยตรงในกระแสเลือด จะมีราคาสูง และใช้เวลามากกว่า ได้แก่ วิธีการตรวจแบบ PCR และ NAT (วิธี NAT เป็นการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีแบบใหม่ที่สภากาชาดไทยนำมาใช้ ควบคู่กับการตรวจแบบแอนติบอดี
ขอแก้ไขความรู้นะครับ
ตอบลบ1.ทุกวันนี้โรงพยาบาลหลายแห่งได้เปลี่ยนหลักการตรวจ HIV จาก ELISA มาเป็น CMIA ซึ่งมีความไวและความจำเพราะในการตรวจมากกว่า
2.วิธี Rapid test แล้วแต่บริษัทที่ผลิตนะครับ บางบริษัทก็มีการตรวจแบบ Combo ซึ่งก็คือตรวจได้ทั้ง HIV Ab และ HIV Ag.
3.ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการรายผลว่า HIV Ab หรือ Ag. positive อาจจะไม่จำเป็นต้องไปขอตรวจใหม่ซ้ำอีก เพราะตามหลักแพทย์สภาได้กล่าวว่าการรายงานผล HIV positive ต้องตรวจอย่างน้อย 2 วิธีด้วยหลักการที่แตกต่างกันจึงจะสามารถรายงานผลได้แต่ส่วนใหญ่จะตรวจประมาณ 3 วิธี
4. window priod คือระยะที่มีเชื้อภายในรางกายแต่ไม่สามารถตรวจพบ Ab ซึ่งจะไม่ใช่ 6 สัปดาห์อย่างที่กล่าวมาเพราะจะขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจมากกว่า เช่น การตรวจด้วยวิธี NAT (nucleic amplification test ) จะสามารถตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อได้ในวันที่ 11 เป็นต้นไปแต่ถ้าจะให้มั่นใจก็ประมาณ 2 สัปดาห์จึงมาตรวจ
ขอบคุณสำหรับบทความครับ ได้ความรู้มากทีเดียว
ตอบลบแล้ววิธีตรวจแบบcmiaมีระยะวินโด้กี่สัปดาคับ
ลบ